ความเข้าใจผิด 10 อย่างในการขับรถ
พิมพ์หน้านี้

ความเข้าใจผิด 10 อย่างในการขับรถ

ความเข้าใจผิด 10 อย่างในการขับรถ
  แค่มีรถ..มีใบขับขี่..ก็ขับรถได้ หลายครั้งที่เราต้องเจอกับคนขับรถได้ไม่ใช่คนขับรถเป็น แค่มีเวลาไปสมัครเรียนขับรถซึ่งเดี๋ยวนี้มีเปิดสอนกันหลายที่ บางส่วนก็ลอกแบบสถานีทดสอบมาสอนเพียงเพื่อให้สอบผ่าน เลยทำให้ในปัจจุบันนี้บ่อยครั้งที่เราสามารถพบเห็นการขับรถที่เสี่ยงอันตราย ก่อให้เกิดความสูญเสีย ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งล้วนเกิดจากความเชื่อหรือความเข้าใจที่ผิด เราจะมาดูกันสิว่า 10 ความเข้าใจที่ผิดในการขับรถ นั้นมีอะไรกันบ้าง
     info-krungsri_10mistake-driving.png

1. เปิดไฟ “ฉุกเฉิน” ขณะผ่านทางแยกหรือฝนตกหนัก
 ไฟฉุกเฉิน นั้นเป็นสิ่งที่มักมีคนใช้งานกันผิดๆ มาตลอด เช่น เปิดเมื่อผ่านทางแยก, ฝนตกหนัก หรือจอดซื้อของริมถนน นับเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะวัตถุประสงค์ของไฟฉุกเฉินนั้น ให้เปิดในกรณีมีเหตุอันควร หรือการจอดฉุกเฉินเนื่องจากรถเสีย เป็นต้น เมื่อมีการเปิดไฟฉุกเฉินไปใน 4 แยก รถที่เห็นสัญญาณไฟจะมองได้ฝั่งเดียว จึงอาจเกิดการเข้าใจผิดคิดว่าเลี้ยวตามทิศทางนั้น ฉะนั้นเมื่อต้องการขับตรงผ่าน 4 แยกไปให้หยุดรถ และเมื่อเห็นว่าปลอดภัยค่อยเคลื่อนรถออกไปโดยไม่จำเป็นต้องเปิดสัญญาณใดๆ ส่วนในกรณีฝนตกหนัก หากเปิดไฟฉุกเฉินไว้ เมื่อต้องการจะเปลี่ยนช่องทางหรือเลี้ยว ก็อาจทำให้รถที่ขับตามหลังหรือใกล้เคียงไม่เข้าใจและก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน เพียงแค่พยายามชิดซ้าย ชะลอความเร็ว เปิดไฟหน้า หรือหากมองไม่เห็นทางจริงๆ ก็ให้หาที่ปลอดภัยจอดรอให้ฝนหยุดก่อนจะปลอดภัยกว่า 
     67453.jpg


2. มาถึงวงเวียนก่อนต้องได้ไปก่อนสิ
 การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกหรือวงเวียน บางคนเข้าใจว่ามาถึงก่อนต้องได้ไปก่อนสิ แต่ก็ควรดูว่าปลอดภัยหรือไม่ ถ้ามีรถอื่นอยู่ในทางร่วมทางแยกผู้ขับขี่ต้องให้รถในทางร่วมทางแยกนั้นผ่านไปก่อน แต่ถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกันและไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยก จะต้องให้รถที่อยู่ทางด้านซ้ายของตนผ่านไปก่อน เว้นแต่ในทางร่วมทางแยกใดมีทางเดินรถทางเอกตัดผ่านทางเดินรถทางโท ให้รถในทางเอกมีสิทธิขับผ่านไปก่อน ในกรณีที่วงเวียนที่ไม่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรต้องให้สิทธิแก่ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถอยู่ในวงเวียนทางด้านขวาของตนขับผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงสามารถขับต่อไปได้
     62752.jpg

3. คิดว่าขับรถเร็วแล้ววิ่งแช่ขวาได้

ถนนทุกสายมักกำหนดให้ใช้ความเร็วไม่เกิดกฎหมายกำหนดตั้งแต่ 60 กม./ชม. จนถึง 120 กม./ชม. ขึ้นอยู่กับเขตหรือว่าลักษณะถนนต่างๆ ซึ่งมักจะเห็นว่ารถยนต์บางคันขับชิดขวาตลอด จริงๆ แล้วการขับรถแช่ขวานั้นมีความผิดนะ เมื่อเห็นว่าทางด้านซ้ายว่างก็ควรกลับเข้าสู่ช่องทางซ้ายเสมอ การขับแช่เลนขวาโดยใช้ความเร็วต่ำกว่ารถที่อยู่ช่องทางด้านซ้ายสุด ทำให้เป็นสาเหตุของการอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ เมื่อแซงเสร็จก็ควรกลับเข้าช่องทางซ้ายเสมอ เพื่อเปิดช่องว่างให้รถที่ต้องการแซงคันอื่นๆ ใช้ทางด้วย อย่างไรก็ตามการขับรถเร็วเกิดกำหนดก็ผิดกฎจราจรและก็จะถูกบันทึกภาพจับ,ปรับตามมา 
     62751.jpg

4. ไหล่ทาง...ไม่ได้มีไว้ให้แซง
 ข้อนี้อันตรายหนักมาก...เพราะไหล่ทางเป็นช่องทางสำหรับรถฉุกเฉิน, รถเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับความปลอดภัย หรือว่ารถจอดเสียชั่วคราวใช้เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อรถที่ออกจากฝั่งซ้าย, รถที่มาจากทางขวาเพื่อเบี่ยงซ้ายเข้าถนนย่อยหรือซอยที่อาจมองไม่เห็น แม้ว่าการจราจรปัจจุบันทางเจ้าหน้าที่จราจรได้แก้ปัญหาด้วยการให้วิ่งไหล่ทางได้ในช่วงเวลาเร่งด้วยรถติดมากๆ แต่ก็ไม่อนุญาติให้วิ่งตลอดเวลา ให้ใช้เฉพาะบางเวลาเท่านั้น หากสภาพการจราจรคลี่คลายคล่องตัวแล้วก็ไม่ควรใช้ไหล่ทางวิ่งต่อไป 
     IMG_0212-mini.jpg

5. แฟชั่นใหม่...เปิดไฟตัดหมอกตลอดเวลา
แฟชั่นใหม่สำหรับใครหลายคนที่ชอบเปิดไฟตัดหมอกวิ่งตลอดเวลาไม่ว่าด้านหน้าหรือด้านหลังรถ นับว่าผิดกฎหมายนะครับ!.. เพราะเป็นการรบกวนสายตารถที่วิ่งสวนทางมาและอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ไฟตัดหมอกควรเปิดเฉพาะเวลาที่ทัศนะวิสัยไม่ดี เช่น มีหมอกหรือควันหนา ฝนตกหนักๆ หรือขับขี่ในทางมืดๆ ที่ไม่มีรถสวนทางมา เป็นต้น ซึ่งตามกฏหมายกำหนดไว้ว่า หากจะติดไฟสปอตไลต์โคมไฟจะต้องไม่พุ่งแบบกระจายวงกว้างหากมีการติดแบบกระจายวงกว้างแม้จะมีฝาครอบก็ถือว่ามีความผิดตามพ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 ระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ส่วนไฟตัดหมอกมีลักษณะเป็นไฟแสงพุ่งต่ำ ซึ่ง พ.ร.บ. ปี พ.ศ. 2536 ต้องเป็นแสงสีเหลืองหรือสีขาว กำลังไฟไม่เกิน 55 วัตต์ สำหรับการเปิดไฟตัดหมอกนั้นทำได้เมื่อมีอุปสรรคในการขับขี่ เช่น มีหมอกควันหรือฝนตกหนัก มองเห็นสิ่งกีดขวางหรือรถที่สวนทางมาในระยะไม่เกิน 150 เมตรถ้าติดไม่ถูกต้อง หรือเปิดไฟพร่ำเพรื่อมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาทดังนั้นผู้ใช้รถจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
     348866.jpg

6. นั่งชิดพวงมาลัยมากๆ ขับรถได้ถนัดขึ้น
 การนั่งชิดพวงมาลัยมากเกินไป จะยิ่งทำให้การกะระยะรอบๆ ตัวรถนั้นยากมากขึ้น เพราะทัศนะวิสัยผู้ขับขี่จะเห็นชัดเจนในช่วงด้านหน้ารถถึงบริเวณระดับแนวเดียวกับที่นั่งขับอยู่เท่านั้น และสายตาจะไม่สามารถมองเห็นส่วนด้านข้างตัว เพราะระดับผู้นั่งร่นมาด้านหน้ามากเกินไป และทำให้มุมมองแคบลงกว่าผู้ที่นั่งในแนวระดับที่ถอยมาอยู่ใกล้เสากลางตัวรถ (B-Pilar) และยังทำให้การมองกระจกมองข้างต้องหันหรือละสายตาจากด้านหน้ารถมากขึ้น จึงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการบาดเจ็บบริเวณใบหน้า หน้าอก จากถุงลมนิรภัยที่ระเบิดออกมาเมื่อเกิดการชน ยิ่งทำให้อันตรายมากขึ้นไปอีก 
     71686.jpg

7. พบรถฉุกเฉินให้อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวเค้ารีบก็จะแซงไปเอง 
 เมื่อพบรถฉุกเฉิน, รถพยาบาลหรือรถดับเพลิง สิ่งแรกที่ควรทำคือ ให้สัญญาณไฟเลี้ยวในทิศทางที่ต้องการจะหลบ และเมื่อดูว่าปลอดภัย ต้องรีบหลบหรือเบี่ยง เพื่อให้ทางแก่รถฉุกเฉินผ่านไปได้อย่างปลอดภัย ไม่ควรขับแช่ในช่องทางวิ่งเดียวกัน และรอให้รถฉุกเฉินแซงไปเอง เพราะว่าการที่รถฉุกเฉินต้องเปลี่ยนช่องทางบ่อยๆ อาจเกิดอันตรายแก่ผู้บาดเจ็บหรืออุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ภายในรถได้ นอกจากนี้ผู้ขับขี่รถยนต์ต้องสังเกตุเหตุการณ์รอบๆ ทั้งด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลัง ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 กำหนดไว้ว่า ผู้ใช้รถใช้ถนนจะต้องหลบ และหลีกให้พ้นผิวจราจรทางด้านซ้ายทันทีเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณไซเรน ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามจะต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท
     PRimg-20180904085148.jpg

8. เข้าเกียร์ว่างเมื่อไหลลงสะพานหรือใกล้หยุดรถ
ไม่ควรเข้าตำแหน่งเกียร์ว่าง เมื่อขับลงทางลาดชันหรือก่อนรถจะหยุดนิ่ง เพราะจะทำให้ภายในระบบชุดเกียร์เกิดการเสียหายเร็วกว่าปกติ เนื่องจากชุดเฟืองและชุดคลัตช์ภายในระบบเกียร์หมุนในความเร็วสูง แล้วถูกสั่งให้หยุดหมุนอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นจะเกิดการเสียดสีขึ้นมากกว่าการปลดเกียร์ว่างที่ความเร็วต่ำ และอาจส่งผลให้เกิดอันตรายในกรณีขับขี่ทางลงเขาหรือเนินชันมากๆ ระบบเบรคจะทำงานหนักจนเกิดความร้อนและประสิทธิภาพลดลง นอกจากนี้หากต้องการจะเร่งแซงอีกครั้งยิ่งทำให้ชุดเกียร์สึกหรอมากกว่าปกติ จึงไม่ควรทำอย่างเด็ดขาด  
     IMG_8954-mini.jpg

9.ใส่เกียร์ "P" เมื่อติดสัญญาณไฟ
การจอดรถติดสัญญาณไฟแดงไม่ควรเข้าเกียร์ "P" เนื่องจากเสี่ยงต่อการเสียหายของระบบล็อคในชุดเกียร์ในกรณีที่มีรถมาชนท้าย ทำให้ชุดเฟืองล็อคเลียหายและค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้นหากจอดติดไฟแดงก็ควรเลื่อนมาตำแหน่ง "N" และดึงเบรคมือไว้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนตำแหน่งเกียร์ "P" ใช้สำหรับจอดทิ้งไว้นานๆ ในที่จอดปลอดภัยและหากจอดรถในทางลาดชันให้ดึงเบรคมือจนรถจอดได้สนิทก่อนแล้วค่อยในตำแหน่ง "P" เพื่อเวลาปลดเกียร์ไปตำแหน่งอื่นๆ จะทำได้ง่ายกว่า เพราะระบบล็อคเฟืองในชุดเกียร์อยู่ในจังหวะที่ไม่ขัดตัวมากนัก แถมยังถนอมเกียร์ได้อีกด้วยนะครับ
     DSCF6554.jpg

10. เลียคลัตช์กันรถไหลบนทางลาดชันโดยไม่กดเบรก
 ในรถยนต์ที่ใช้เกียร์ธรรมดาหรือเกียร์กระปุก เมื่อจำเป็นต้องจอดติดสัญญาณไฟหรือรถติดบริเวณคอสะพานหรือทางลาดชัน ไม่ควรใช้การเลียคลัตช์ให้รถไม่ไหลถอยหลัง เนื่องจากจะทำให้ระบบคลัตช์สึกหรอมากขึ้นและเกิดความร้อนสะสมในระบบเกียร์เพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการพุ่งไปชนรถคันหน้า 
 การขับรถในท้องถนนนั้นไม่ว่าจะมีประสบการณ์หรือขับขี่มานานหลายปีแล้วก็ตาม ยังมีอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องรู้และปฏิบัติให้ถูกต้อง เพราะปัจจุบันบริมาณรถยนต์เพิ่มมากขึ้น สมรรถนะสูงขึ้น ย่อมต้องปรับตัวให้เข้ากับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มากขึ้น แต่ยังคงต้องยึดหลักกฎจราจรอย่างเคร่งครัดมากขึ้นตามไปด้วย ที่สำคัญขับรถอย่า "หัวร้อน" มีน้ำใจและไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน จะช่วยลดอุบัติเหตุได้มากขึ้นครับ

ย้อนกลับ

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

+ ดูทั้งหมด