เมื่อเกิดเหตุการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องจนทำให้น้ำท่วม การปกป้องรถของคุณอาจเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อรถได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากคุณมีประกันรถยนต์อยู่ การเคลมประกันให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณได้รับการชดเชยตามเงื่อนไขอย่างรวดเร็ว เราขอแนะนำขั้นตอนการเคลมประกันร
ถจากความเสียหายน้ำท่วม พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ท่านควรทำเพื่อให้กระบวนการเคลมเป็นไปอย่างราบรื่น
1. ตรวจสอบประเภทของประกันรถที่มีอยู่
สิ่งแรกที่ท่านต้องทราบ คือประเภทของประกันรถที่ท่านได้ซื้อกรมธรรม์เอาไว้ ว่าครอบคลุมถึงกรณีความเสียหายจากน้ำท่วมหรือไม่ และแน่นอนว่าประกันชั้น 1 ครอบคลุมความเสียหายจากภัยธรรมชาติรวมถึงน้ำท่วม แต่สำหรับประกันชั้น 2 และชั้น 3 บางประเภท อาจไม่ครอบคลุมกรณีดังกล่าว ดังนั้นควรตรวจสอบกรมธรรม์และทำความเข้าใจ
2. เงื่อนไขการคุ้มครองให้แน่ชัดก่อนแจ้งเคลม
หลีกเลี่ยงการสตาร์ทรถทันทีหลังจากน้ำท่วมหลังจากรถได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ควรสตาร์ทรถทันที การสตาร์ทรถในขณะที่รถยังเปียกชื้นหรือมีน้ำขังในเครื่องยนต์อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบไฟฟ้าและเครื่องยนต์เพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลให้ประกันไม่ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว ควรให้รถยนต์แห้งหรือให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบก่อน
3. เก็บหลักฐานและบันทึกความเสียหาย
เมื่อเกิดความเสียหายจากน้ำท่วม ควรถ่ายรูปหรือวิดีโอเพื่อบันทึกหลักฐานความเสียหายของรถยนต์ รวมถึงพื้นที่บริเวณที่เกิดน้ำท่วม หลักฐานเหล่านี้จะเป็นประโยชน์เมื่อต้องการเคลมประกัน เนื่องจากจะช่วยให้บริษัทประกันสามารถประเมินสถานการณ์และตรวจสอบความเสียหายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
4. แจ้งบริษัทประกันภัยทันที
หลังจากที่เกิดเหตุ ควรติดต่อบริษัทประกันภัยทันทีเพื่อแจ้งเหตุการณ์และความเสียหายที่เกิดขึ้น บริษัทประกันจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนการเคลม รวมถึงการส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น และเมื่อแจ้งเคลม ควรระบุรายละเอียดให้ครบถ้วน เช่น วันและเวลาที่เกิดเหตุ พื้นที่ที่เกิดน้ำท่วม และลักษณะความเสียหายที่พบ
5. ปฏิบัติตามคำแนะนำของบริษัทประกัน
หลังจากแจ้งเคลม บริษัทประกันจะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบความเสียหาย ท่านควรให้ความร่วมมือและทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หากบริษัทประกันแนะนำให้ลากรถไปยังอู่ซ่อมที่ได้รับการรับรอง ท่านควรปฏิบัติตามเพื่อให้การซ่อมแซมเป็นไปอย่างถูกต้องและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกรมธรรม์
6. ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองเพิ่มเติม
ในบางกรณี ประกันภัยรถยนต์อาจมีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ครอบคลุมความเสียหายจากน้ำท่วม เช่น ค่าบริการลากรถ ค่าชดเชยรถทดแทนระหว่างรอการซ่อม หรือค่าชดเชยในกรณีที่รถไม่สามารถซ่อมแซมได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความยุ่งยากและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับท่าน ดังนั้นควรสอบถามบริษัทประกันภัยเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุม
7. การซ่อมแซมและตรวจสอบหลังน้ำท่วม
หลังจากที่รถได้รับการซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว ควรตรวจสอบความเรียบร้อยของการซ่อมจากอู่ที่ได้รับการรับรอง โดยเฉพาะระบบไฟฟ้าและเครื่องยนต์ ที่มักจะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และหากพบปัญหาใด ๆ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ท่านควรแจ้งอู่ซ่อมหรือบริษัทประกันทันที
8. การจ่ายค่าสินไหมตามทุนประกันภัย
ในกรณีที่ความเสียหายเกินกว่า 70% ของมูลค่ารถ การซ่อมอาจทำได้ยากไม่สามารถซ่อมให้คืนสภาพได้เหมือนเดิม บริษัทประกันภัยจะเสนอจ่ายค่าสินไหมตามทุนประกันภัยที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
สรุป
เมื่อรถได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม การดำเนินการเคลมประกันให้ถูกต้องและทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ท่านได้รับการชดเชยและซ่อมแซมได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การตรวจสอบประเภทประกันที่มีอยู่ การหลีกเลี่ยงการสตาร์ทรถ การเก็บหลักฐานความเสียหาย และการปฏิบัติตามคำแนะนำของบริษัทประกันจะทำให้กระบวนการเคลมเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพที่สุด
สามารถติดตามข่าวสาร หรือ โปรโมชันที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ประกันรถ สินเชื่อรถยนต์ จาก กรุงศรี ออโต้ หรือ ปรึกษารายละเอียดได้ที่
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-708-8555 (จ-ศ เวลา 8.30-17.30 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)