MG ได้แนะนำ
HS รุ่นแรกเข้าสู่ตลาดรถยนต์เมืองไทยในปี
2562 ภายใต้ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์
MG โดยเป็นรถในกลุ่ม
C-SUV ซึ่งสะท้อนความเป็นรถยนต์สปอร์ตพรีเมี่ยม
SUV ผ่านการออกแบบทั้งภายนอก และภายในที่ทันสมัยใส่ใจในทุกรายละเอียดซึ่ง
New MG HS เผยโฉมในไทยอย่างเป็นทางการกับการปรับโฉมที่ผสานความหรูหรา ทันสมัย และความสปอร์ตได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังได้ติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูง และฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน
New HS จะขาดไปไม่ได้ก็คือระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ
i-SMART (ยกเว้นรุ่น
C) ซึ่งปัจจุบันระบบนี้สามารถอัพเดทฟังก์ชันการทำงานใหม่ๆ ผ่านทางออนไลน์หรือ
FOTA (Firmware–Over–The-Air) สร้างความสะดวกสบายในการใช้งานรถยนต์ได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยีระบบนำทางเสมือนจริง หรือ
AR NAVIGATION ที่จะทำงานร่วมกันระหว่าง กล้องหน้าที่ถ่ายทอดสภาวะแวดล้อมจริงในขณะเดินทางร่วมกับระบบนำทางแบบ
real time ช่วยให้การใช้งานระบบนำทางแม่นยำมากยิ่งขึ้น และระบบกุญแจดิจิตอล อีกทั้งยังมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยมาตรฐานสากลสูงสุดถึง
26 ระบบ และระบบช่วยผู้ขับขี่หรือระบบ
ADAS ที่เทียบเท่ากับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับที่
2
เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบและแบบเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบผสานเข้ากับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด (
PHEV)
ในส่วนของเครื่องยนต์
New HS จะให้เลือกทั้งแบบเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบและแบบเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบผสานเข้ากับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด (
PHEV) โดยในส่วนรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์นั้นจะให้กำลัง
162 แรงม้า และแรงบิด
250 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ
Twin Clutch Sportronic Transmission (TST) 7 สปีด ส่วนรุ่นที่เป็น
PHEV นั้นจะเป็นการทำงานผสมผสานกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงแบบ
Hairpin Winding Technology ทำให้ได้กำลังสูงสุดถึง
284 แรงม้า แรงบิดสูงสุด
480 นิวตันเมตร โดยได้พลังงานมาจากแบตเตอรี่แบบ
b Lithium-ion ขนาด
16.6 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ทำให้สามารถขับขี่ด้วยใน
EV Mode ได้ถึง
67 กิโลเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ
EDU II 10 สปีด
สำหรับ
New HS และ
New HS PHEV จะมีรุ่นย่อยรวมกัน
5 รุ่นย่อย แบ่งออกเป็นรุนที่ใช้เครื่องยนต์
3 รุ่น ประกอบด้วย
C ราคา
939,000 บาท
, D ราคา
1,089,000 บาท และ
X ราคา
1,159,000 บาท
กับรุ่นที่เป็นระบบปลั๊กอินไฮบริด
2 รุ่น คือ
D ราคา
1,299,000 บาท และ
X ราคา
1,379,000 บาท
โดยทั้ง
5 รุ่นย่อยนั้นจะมากับการออกแบบที่ปรับให้มีความโดดเด่น โดยจับเอาความสปอร์ตกับความหรูหรามารวมกันได้อย่างลงตัวด้วยเส้นสายของตัวถังแบบ
British Shoulder Line ที่เน้นเรื่องความโค้งมนสมบูรณ์แบบของตัวรถ
พร้อมกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ที่คงเอกลักษณ์เฉพาะของ
MG กับสีแบบทูโทน ดีไซน์
Digital Burning Grille, กันชนหน้า-หลัง ก็ได้รับการอออกแบบใหม่ รับกันดีกับไฟหน้าแบบ
QUAD LED Projector ที่มีไฟ
Daytime Running Lights ส่วนไฟท้ายก็เป็นแบบ
Full LED, สปอยเลอร์หลังพร้อมราวหลังคา ฯลฯ ส่วน ล้ออัลลอย
BI-COLOUR ดีไซน์ใหม่ ขนาด
18 นิ้ว และ ไฟ
Welcome Light จะมีในทุกรุ่นยกเว้นรุ่น
C
ภายในห้องโดยสารของจะเป็นสีทูโทนขาว - น้ำเงิน แต่รุ่น
C จะได้สีดำ โดยจะใช้วัสดุแบบ
Soft Touch ที่ให้ความรู้สึกพรีเมียมในทุกรายละเอียด พร้อมฟังก์ชั่นที่ให้ทั้งความสะดวกสบายและคุณค่าระหว่างการขับขี่ที่ครบครัน จะแตกต่างกันไปบ้างก็ตรงที่ ไฟ
Ambient Lights จะไม่มีในรุ่น
C ส่วนปุ่มปรับโหมดการขับขี่
, Paddle Shift จะมีในรุ่น
X และรุ่นที่เป็น
PHEV เท่านั้น ส่วนโหมดรีไซเคิลพลังงาน (
KERS) จะมีเฉพาะรุ่น
PHEV เบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบ
Sport Bucket Seat โดยเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า
6 ทิศทาง และเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า
4 ทิศทาง (ยกเว้นรุ่น
C) ฯลฯ อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยที่ครบครันตามมาตรฐานความปลอดภัยในรถยุโรป
สำหรับใครที่ยังเลือกไม่ได้ว่าจะเลือกอะไรดีระหว่าง
New HS หรือจะเลือก
New HS PHEV ก็ขอสรุปง่ายๆ ว่า มันคือความต่างกันของรถที่ใช้น้ำมันล้วนๆ กับรถที่มีระบบปลั๊กอินไฮบิด หรือระบบไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยรถแบบ
PHEV จะกำลังมากกว่าดังที่กล่าวมาข้างต้นเพราะมีมอเตอร์เข้ามาเสริมพลัง ทำให้แรงขับเคลื่อนมีมากกว่า แต่ก็จะประหยัดเชื้อเพลิงกว่าด้วยเพรามีระบบไฮบริดมาช่วยเสริม แต่ถ้าจะให้เลือกว่าเหมาะกับใครอย่างแรกคือกำลังในการซื้อ
, ภาระค่าใช้จ่าย อีกทั้งรวมไปถึงสภาพที่อยู่อาศัย เนื่องจากรถที่ต้องการกำลังไฟฟ้าคุณต้องมีที่ชาร์จเองที่บ้านจะได้ไม่ต้องแวะไปชาร์จตามสถานีชาร์จอื่นๆ นั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะเงื่อนไขและข้อจำกัดของแต่ละคนไม่เท่ากัน