CRETA รถเอสยูวีราคาต่ำกว่าล้านจาก Hyundai แต่ละรุ่นย่อยแตกต่างกันอย่างไร ?

เมื่อคุณอยากจะได้รถอเนกประสงค์แบบ SUV ไว้ใช้ในครอบครัวสักคัน แม้ว่าในตลาดรถยนต์จะมีตัวเลือกอยู่มากมายก็ตาม แต่ที่น่าสนใจก็คือตัวเลือกใหม่จากทาง ฮุนได ที่เพิ่งเปิดตัวรถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ล่าสุด โดยเป็นรถที่นำเข้ามาจำหน่ายจากอินโดนีเซียนั่นคือ CRETA โดยรถรุ่นนี้ได้รับความนิยมในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่สำคัญราคาเปิดตัวมานั้นต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท ซึ่ง CRETA นั้นมีจำหน่าย 2 รุ่น คือ SE ที่จำหน่ายในราคา 949,000 บาท กับอีกหนึ่งตัวเลือกคือ SEL ซึ่งแพงกว่าในราคา 999,000 บาท โดยทั้งคู่มากับดีไซน์ที่โดดเด่น, สมรรถนะการขับขี่ที่สนุกสนาน กับความอเนกประสงค์ในการใช้งานที่หลากหลาย ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว ขุมพลังของ CRETA เป็นเครื่องยนต์เบนซิน รุ่น Gamma II 1.5 MPI ขนาด 1.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 115 แรงม้า ที่ 6,300 รอบต่อนาที กับแรงบิด 144 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Intelligent Variable Transmission หรือ IVT พร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือก 4 แบบ คือ Eco, Comfort, Sport และSmart พร้อมปุ่มปรับการขับขี่เฉพาะสภาพถนนหิมะ ทรายหรือโคลน แต่ที่น่าเสียดายคือ CRETA นั้นรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงแค่ E10 เท่านั้น ส่วนถังน้ำมันมีความจุได้ถึง 40 ลิตร หากพูดถึงขนาดของ CRETA นั้นมีขนาดตัวถังอยู่ที่ ความยาว 4,315 มม., ความกว้าง 1,790 มม., ความสูง  1,630 มม. โดยมีความยาวฐานล้ออยู่ที่ 2,610 มม. เนื่องจากเป็นรถเนกประสงค์แบบ SUV ทำให้มีระดับต่ำสุดจากพื้นถึง 200 มม.  
โดย CRETA นั้นมีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ โดยการออกแบบกระจังหน้า Parametric Jewel Radiator Grille แบบรมดำ ทำให้ไฟหน้า LED แบบมัลติรีเฟลกเตอร์ กับ Daytime Running Lights ที่มีระบบ เปิด-ปิด อัตโนมัติ ดูกลมกลืนไปกับแผงกระจังหน้า ส่วนไฟท้ายออกแบบให้มีลักษณะเหมือนบูมเมอแรงแบบ LED และยังมีสปอยเลอร์พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED กับเสาอากาศแบบครีบฉลาม และ ล้ออัลลอยแบบ Diamond cut ขนาด 17 นิ้ว กับยางขนาด 215/60 R17
  ส่วนภายในออกแบบเน้นถ่ายทอดความพรีเมี่ยมและร่วมสมัย บริเวณด้านหน้าแผงหน้าปัดแนวยาวเชื่อมต่อไปกับแผงด้านข้างประตูเสมือนปีกที่โค้งรับกัน เหมือนช่วยโอบอุ้มผู้โดยสาร โดยมีหน้าจอแสดงผลการขับขี่ความละเอียดสูงแบบ LCD ขนาด 10.25 นิ้ว, พวงมาลัยปรับระดับได้ (สูง-ต่ำ-เข้า-ออก), ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมไฟเรืองแสง, ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ผ่านรีโมท, Cruise Control และ เบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Hold
  ส่วนตัวเบาะจะเป็นแบบหุ้มหนัง ทั้งยังมีระบบควบคุมอุณหภูมิแอร์อัตโนมัติ กับช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง, ที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless Charger), ช่องจ่ายไฟสำรอง 12V 1 จุด และช่องจ่ายไฟสำรองแบบ USB 2 จุด ส่วนระบบความบันเทิง ทั้ง 2 รุ่น จะได้หน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับไฟล์ MP3 ทั้งยังรองรับ Apple CarPlay / Android Auto แบบไร้สาย กับลำโพง 6 ตำแหน่ง พร้อมทั้งมี USB สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์มัลติมีเดีย 1 จุด กับระบบเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารไร้สายบลูทูธ, ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่านบลูทูธ และระบบสั่งการด้วยเสียง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและสั่งการบลูทูธ บนพวงมาลัย
  นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยอัดแน่นมาทั้ง ระบบเบรก ABS, ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESC, ระบบเสริมแรงเบรก BAS, ระบบควบคุมการทรงตัว VSM, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC, ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ เมื่อเบรกกะทันหัน ESS, ระบบล็อคประตูอัตโนมัติตามความเร็วรถ, ระบบแจ้งความดันลมยางอัตโนมัติ TPMS, กล้องมองหลังแสดงภาพขณะถอยจอด, เซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง, ถุงลมนิรภัย 6 จุด (คู่หน้า, ด้านข้าง, ม่านถุงลมนิรภัย), ระบบกุญแจ Immobilizer และยังมีระบบอัจฉริยะบนท้องถนนภายใต้ Hyundai SmartSense ไม่ว่าจะเป็น ระบบเตือนและเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบช่วยควบคุมให้รถอยู่ในเลน LKA, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน LFA, ระบบเตือนและช่วยควบคุมพวงมาลัยเมื่อมีรถในจุดอับสายตา BCA, ระบบเตือนและเบรกอัตโนมัติขณะถอยรถ RCCA, ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ HBA, ระบบเตือนการเปิดเมื่อมีรถวิ่งมาด้านข้าง SEW, ระบบเตือนอาการเหนื่อยล้า DAW และ ระบบช่วยจำกัดความเร็ว MSLA
  แต่ถ้าคุณเลือกรุ่น SEL จะได้เพิ่มมาก็คือ หลังคาพาโนรามิกซันรูฟ, ไฟภายในห้องโดยสาร กับ ไฟส่องสว่างสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง แบบ LED และ ระบบแจ้งเตือนให้เช็คผู้โดยสารด้านหลัง (ROA) นี่คือสิ่งที่คุณจะได้ถ้ายอมจ่ายแพงกว่ารุ่น SE ถึง 50,000 บาท ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับสมาชิกในครอบครัวแล้วล่ะว่าตัวเลือกไหนจะเหมาะที่สุด