เอาไงดี “รถ EV” หรือ “รถแบบอื่นที่ไม่ใช่ EV”? 10 คำถาม-คำตอบควรรู้ก่อนถอยรถ EV
พิมพ์หน้านี้

เอาไงดี “รถ EV” หรือ “รถแบบอื่นที่ไม่ใช่ EV”? 10 คำถาม-คำตอบควรรู้ก่อนถอยรถ EV

เพิ่มเพื่อน

ใครที่กำลังเล็งๆ อยากเปลี่ยนรถใหม่ หรือสนใจจะซื้อรถใหม่ อาจกำลังมีคำถามแบบนี้อยู่ในหัวนะครับว่า “เอ๊ะถึงเวลาแล้วยัง ถ้าเราจะลองหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle (EV)) กันดู?” มองไปตลาดตอนนี้ อาจยังมีตัวเลือกรถ EV ไม่มาก หรือบางทีบางรุ่นราคาอาจยังไม่โดนใจ แต่ในตลาดรถยนต์ตอนนี้ กระแสรถ EV ในหลายๆ ประเทศกำลังมา หรือกลายเป็นมาตรฐานรถยนต์ปกติกันไปแล้ว ดังนั้น เมืองไทยก็น่าจะเป็น Just a Matter of Time ที่รถยนต์ไฟฟ้า EV จะกลายเป็นเรื่องปกติในเมืองไทยในอนาคต วันนี้เรามาดู 10 คำถาม-คำตอบเกี่ยวกับรถยนต์ EV ที่คนถามกันบ่อย และเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องรู้ก่อนจะซื้อรถ EV มีเรื่องอะไรกันบ้างเรามาดูกัน
2.png

จริงๆ แล้ว รถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีตถูกใช้งานในรูปแบบรถเพื่อบริการในสถานที่ต่างๆ มาแล้ว เช่น รถกอล์ฟ รถรางไฟฟ้าในสวนสัตว์ เป็นต้น และเริ่มมีการพัฒนามาสู่รถยนต์นั่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จนักในช่วงแรกๆ เนื่องจากเทคโนโลยียังไม่ทันสมัย และสมรรถนะที่ด้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน  แต่ภายหลังได้มีการพัฒนาสมรรถนะให้ดีขึ้น ประกอบกับราคาที่ค่อยลดลง จึงกลับมาเป็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคนี้
3.jpg
ปัจจุบันนี้ แทบจะทุกแบรนด์รถต่างลงมาพัฒนารถ EV กันหมดแล้ว และบางทีก็เน้นรถเล็กๆ ขับในเมือง
อย่างคันนี้คือแบรนด์ Smart รุ่น For Two จากค่าย Daimler Benz (รูปนี้จอดอยู่ใน Lisbon ประเทศโปรตุเกส)
 
1.       รถยนต์ EV ทำงานต่างจากรถพลังงานทางเลือกอี่นยังไง?
ต่างกันแน่นอน รถยนต์ EV วิ่งโดยมอเตอร์ไฟฟ้า และใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานอย่างเดียว (ถ้าเรียกแบบเต็มๆ แบบฝรั่งให้แตกต่างจากรถประเภทอื่น จะเรียกว่า Battery Electric Vehicle (BEV)) ในขณะที่รถพลังงานทางเลือกแบบอื่นๆ ในตลาดเมืองไทย จะแตกต่างออกไปดังนี้
  1. รถไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle (HEV)) เช่น Toyota Camry Hybrid 2.5 HV Premium จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานผสม ที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ระบบแบบทำงานร่วมกัน ประกอบไปด้วย เครื่องยนต์สันดาปภายในใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมัน และมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งใช้กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ โดย 2 ระบบขับเคลื่อนนี้ สามารถทำงานสลับกันไปมาได้แล้วแต่จังหวะการขับเคลื่อน หรือการทำงานของรถ ข้อดีของระบบนี้คือช่วยประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ตามระบบ และจังหวะการเคลื่อนไหวของรถยนต์ ณ ขณะนั้นๆ 
  2. รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานผสมแบบเสียบปลั๊ก หรือปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV)) เช่น Mercedes-Benz C 300 e ใช้พลังงานผสมระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิง และไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ เป็นรถที่มีลักษณะการทำงาน และชิ้นส่วนต่างๆ คล้ายกับ ไฮบริด แต่มีระบบเติมไฟฟ้าจากภายนอกเข้ามาโดยผ่านปลั๊กที่ติดอยู่กับตัวรถ เนื่องจากรถประเภทนี้สามารถชาร์จไฟจากภายนอกได้ จึงทำให้มีความสามารถที่จะขับขี่โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ระยะทางมากกว่ารถไฮบริด แต่เนื่องจากแบตเตอรี่มีขนาดใหญ่ทำให้มีราคาสูงกว่าแบบไฮบริด
โดยรวมแล้ว รถ Hybrid กับ Plug-in Hybrid นั้น เราคุ้นเคยกันอยู่บ้างแล้ว แต่หลักการมันก็ยังเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่ดี นอกจากนี้ ในโลกรถยนต์ยังมีรถพลังงานทางเลือกอื่นอีก เช่น รถไฟฟ้าพลังงานเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV))) ซึ่งใช้พลังงานจากก๊าซไฮโดรเจน แต่ไม่เป็นที่นิยมสำหรับตลาดผู้บริโภคมากนัก 
 
4.jpg
รถ Hybrid
 
5.jpg
รถ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) ขณะกำลังชาร์จแบตเตอรี่อยู่
 
2.     ชาร์จไฟยังไง และชาร์จที่บ้านได้ไหม?  
วิธีการชาร์จไฟรถ EV นั้น จะแบ่งได้เป็น 3 แบบหลักๆ คือ (1) Quick Charger (2) Normal Charger แบบเครื่องชาร์จ Wall Box และ (3) Normal Charger แบบต่อจากเต้ารับในบ้าน ซึ่งวิธีที่ 2-3 นี้ เราสามารถนำมาปรับใช้เพื่อชาร์จไฟรถ EV ในบ้านได้
  1. แบบ Quick Charge เป็นการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) โดยใช้ตู้ EV Charger (สถานีชาร์จรถไฟฟ้า) จ่ายไฟ DC เข้าที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง การชาร์จแบบนี้จะเร็วที่สุดใน 3 แบบ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ในเวลาประมาณ 40-60 นาที แต่ก็ขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่ด้วย เหมาะกับผู้ที่ต้องการความรวดเร็วในการชาร์จ ประเภทหัวชาร์จของ Quick Charger ได้แก่ CHAdeMo (ย่อมาจาก Charge de Move ใช้แพร่หลายในญี่ปุ่น), GB/T (พัฒนาโดยจีน) และ CCS (ย่อมาจาก Combined Charging System ใช้ในยุโรปและอเมริกา)
  2. Normal Charger แบบเครื่องชาร์จ Wall Box เป็นการชาร์จด้วยไฟกระแสไฟฟ้าสลับ (AC Charging) ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเห็นกันในรูปของตู้ชาร์จติดผนังตามห้างสรรพสินค้า หรือโรงแรม โดยชาร์จผ่านตัวแปลงไฟที่จะทำหน้าที่ในการแปลงไฟกระแสสลับ ไปเป็นไฟกระแสตรง ระยะเวลาในการชาร์จอาจมีได้ตั้งแต่ 4 – 9 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ และสเปครถ   
  3. Normal Charger แบบต่อจากเต้ารับภายในบ้านโดยตรง โดยมีเงื่อนไขว่ามิเตอร์ไฟของบ้านต้องสามารถรองรับกระแสไฟฟ้าขั้นต่ำ 15(45)A และเต้ารับไฟในบ้านต้องได้รับการติดตั้งใหม่ เป็นเต้ารับเฉพาะสำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าไม่สามารถใช้เต้ารับแบบธรรมดาได้ เนื่องจากรถ EV จำเป็นต้องใช้กระแสไฟฟ้าสูงขณะทำการชาร์จ จึงควรต้องตรวจสอบระบบไฟฟ้าในบ้านให้มีความเหมาะสมต่อปริมาณความต้องการกระแสไฟฟ้า เช่น สะพานไฟ และขนาดของสายไฟ ว่าสามารถรองรับปริมาณกระแสที่มากได้หรือไม่ และอุปกรณ์ชาร์จควรมีระบบตัดไฟฟ้าอัตโนมัติเมื่อชาร์จเต็ม หรือเกิดเหตุฉุกเฉินด้วย ดังนั้น ข้อแนะนำคือควรให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ติดตั้งเพื่อความปลอดภัยจะดีที่สุด ปัจจุบัน บริษัทเอกชนหลายแห่งได้มีการนำเข้าตัวชาร์จเข้ามาจำหน่าย พร้อมบริการติดตั้งตามบ้านเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่สนใจรถ EV แล้ว ระยะเวลาการชาร์จของวิธีนี้จะนานสุด คือกว่า 12-15 ชั่วโมง
 
6.jpg 7.jpg 
สถานี Charge Now สำหรับชาร์จไฟรถ EV และ PHEV ในโรงแรม So Sofitel Hotel Bangkok
(Charge Now เป็นความร่วมมือระหว่าง BMW Thailand, GLT Green และ The Fifth Element)
 
8.jpg
รูปร่างหน้าตาเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV ในสถานีชาร์จที่ตั้งอยู่ในหลายๆ โรงแรมในเมืองไทย

3.     ชาร์จไฟนอกบ้านที่สถานีชาร์จไฟฟ้าที่ไหนได้บ้าง?  
จุด EV Charger มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต มีบริษัทเอกชนหลายรายกำลังลงทุนขยายเครือข่ายเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นโดยได้รับความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับการไฟฟ้านครหลวง ปัจจุบัน ในเมืองไทยมีสถานี EV Charger ยังไม่เยอะมาก และกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพไม่น้อยตามลานจอดรถห้างสรรพสินค้าต่างๆ (เช่น Central, Siam Paragon, Crystal Design Center) โรงแรมต่างๆ (เช่น So Sofitel Hotel, Hotel Pullman King Power, Marriott Surawong) ตึกสำนักงานที่ทันสมัย และคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ๆ (เช่น taka Haus Ekamai 12 ของแสนสิริ หรือ Niche Mono Sukhumvit-Bearing ของเสนาฯ) ซึ่งส่วนใหญ่รองรับรถ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) และอาจมีการคิดค่าใช้บริการด้วย โดยทั่วๆ ไปอยู่ที่ 50 บาท/1 ชั่วโมง, 80 บาท/2 ชั่วโมง และ 110 บาท/3 ชั่วโมง (ปัจจุบันบ้านเรามีกฎหมายห้ามไม่ให้เอกชนขายไฟฟ้าแก่บุคคลทั่วไป ดังนั้น ค่าบริการพวกนี้จะคิดในเชิงของการเช่าพื้นที่รถยนต์เป็นหลัก (ไม่ใช่ค่าซื้อไฟฟ้า)) ทางด้าน PTT ก็ได้เปิดตัว PTT EV Charging Station สำหรับสมาชิกบัตร PTT Blue Card สามารถนำรถไปชาร์จไฟได้ รวมถึงสถานที่ราชการอีกหลายแห่ง และได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนเพื่อความสะดวกสบายในการค้นหา ให้คุณสามารถค้นหา EV Charger ที่อยู่ใกล้เคียงได้ใน Google Maps บนสมาร์ทโฟน เพียงแค่ใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง เช่น EV charging stations ก็สามารถค้นหาสถานที่ตั้งพร้อมกับข้อมูลระยะทางที่ใกล้เคียงให้คุณได้
9.png
อีกตัวอย่างของแอปฯ การหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของ EA (เอกชนอีกรายที่กำลังลงทุนสร้างสถานีชาร์จรถไฟฟ้าในเมืองไทยตอนนี้)
10.png
ปัจจุบันเริ่มมีแอปฯ เอกชนที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้หาสถานีชาร์จรถ EV ในเมืองไทยได้ง่ายขึ้น เช่น PumpCharge นี้
 
4.     รถยนต์ EV วิ่งได้นานแค่ไหน?
ขึ้นอยู่กับว่า “แบตเตอรี่” และ “ขนาดของมอเตอร์” ของรถรุ่นนั้นๆ ว่ามีความจุเท่าไหร่ ประกอบกับปัจจัยอื่นหลายอย่าง เช่น สภาพการจราจร ขับขึ้นทางชัน ใช้กำลังแอร์เยอะในสภาพอากาศร้อน เป็นต้น ไม่ใช่ว่าทุกคันจะวิ่งได้ระยะทางเท่ากันหมด บางรุ่นใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กก็วิ่งได้น้อยกว่า เทียบง่ายๆ ได้เหมือนกับที่รถยนต์มีถังน้ำมันความจุต่างกัน การใช้เชื้อเพลิงต่างกัน ระยะทางที่ได้ก็จะต้องต่างกันไปด้วย ยกตัวอย่างรถ EV ที่ขายในเมืองไทยปัจจุบัน แต่ละค่ายก็จะให้ข้อมูลว่ามีระยะทางวิ่งได้ไกลสุดแตกต่างกันไป เช่น
  • FOMM ONE (ราคา 664,000 บาท) วิ่งได้ไกลประมาณ 160 กิโลเมตร/ชาร์จ
  • Hyundai IONIQ (ราคา 1,749,000 บาท) วิ่งได้ไกลประมาณ 280 กิโลเมตร/ชาร์จ
  • Nissan LEAF (ราคา 1,990,000 บาท) วิ่งได้ไกลประมาณ 311 กิโลเมตร/ชาร์จ
  • Audi e-Tron 55 Quattro (ราคา 5,099,000 บาท) วิ่งได้ไกลประมาณ 500 กิโลเมตร/ชาร์จ  

5.     อายุของมอเตอร์และแบตเตอรี่จะใช้งานได้นานแค่ไหน?
อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-8 ปี แบตเตอรี่ และมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า ก็เหมือนกับแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ที่เสื่อมสภาพตามการใช้งานได้ แต่สำหรับแบตเตอรี่ และมอเตอร์ของรถ EV ที่เสื่อมสมรรถนะลงนั้นจะเป็นแบบค่อยๆ ลดลง ข้อแนะนำคือรถ EV ควรชาร์จแบตเตอรี่จนไฟเต็มประจุ 1 ครั้งทุกสัปดาห์ เพื่อเป็นการกระตุ้นเซลล์เก็บประจุให้ทำงานครบ และช่วยลดการเสื่อมของแบตเตอรี่ได้ และโดยปกติ แบตเตอรี่จะใช้งานไม่เต็ม 100% ระบบจะทำการเซฟเบื้องต้น การชาร์จบ่อยๆ ครั้งก็มีผลกระทบต่อการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ไม่มาก เนื่องจากมีการออกแบบให้ถูกใช้งานซ้ำๆ เป็นประจำ ส่วนการชาร์จไฟเข้านั้น ระบบจะมีการตัดการชาร์จไฟเมื่อระดับไฟฟ้าในแบตเตอรี่เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว โดยทั่วไปนั้นจะตัดการประจุไฟที่ราวๆ 90 เปอร์เซ็นต์ (ขึ้นกับรุ่นรถ) ส่วนใหญ่การรับประกันแบตเตอรี่นั้น เนื่องจากรถแต่ละคันใช้งานไม่เหมือนกันจึงต้องใช้ทั้งปัจจัย “ระยะเวลา” และ “ระยะทาง” เป็นตัวกำหนด เช่น Nissan LEAF มีการรับประกันอายุของแบตเตอรี่เอาไว้ที่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร และรับประกันระบบไฟฟ้าถึง 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ด้าน MG ZS EV มีการรับประกันอายุของแบตเตอรี่เอาไว้ที่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร
11.jpg
สถานี EV Charger ที่โรงแรม Pullman King Power Hotel รางน้ำ
12.jpg
สถานีชาร์จรถไฟฟ้า EV Charger แบบนี้ จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในกรุงเทพ
 
6.     เปรียบเทียบ “ค่าใช้จ่าย” และ “กำลังรถ” ระหว่างรถ EV กับ Non-EV?
โดยเฉลี่ย หากรถ EV ของเราไม่ได้มีปัญหากับตัวแบตเตอรี่ เช่นต้องเปลี่ยนบ่อย หรือเสียบ่อย ค่าใช้จ่ายในการขับรถ EV (Energy Costs) จะถูกกว่ารถยนต์วิ่งด้วยน้ำมันในระดับหนึ่ง ดังต่อไปนี้
  1. น้ำมันมีราคาผันผวนตามตลาดโลก ส่วนราคาไฟฟ้านั้นคงที่ โดยจะเสียค่าไฟครั้งละ 90-150 บาทต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง คิดเสียว่าค่าใช้จ่าย ประมาณ 0.60 – 1 บาท/กิโลเมตร เมื่อเทียบค่าเติมน้ำมันรถทั่วไปประมาณ 3 บาท/กิโลเมตร ทำให้สามารถประหยัดค่าเชื้อเพลิงรถไปได้มากกว่า 2-3 เท่า ดังนั้น เมื่อคิดเป็นจำนวนเงินต่อการเติมเชื้อเพลิง 1 ครั้ง รถยนต์ไฟฟ้า EV จะถูกกว่า
  2. ส่วนในเรื่องความแตกต่างของพละกำลังนั้น รถแบบที่ใช้เครื่องยนต์ จะมีการสูญเสียกำลังไประหว่างทางจากเครื่องยนต์จนไปถึงล้อ ส่วน รถยนต์ EV นั้นมีส่วนประกอบน้อยกว่าทำให้ไม่มีการสูญเสียพลังงานมาก ดังนั้น โดยส่วนใหญ่แล้ว อัตราเร่งของรถยนต์ EV ที่มี Single Speed จึงดีกว่ารถแบบที่ยังใช้เครื่องยนต์พอสมควร
  3. แบตเตอรี่ถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบที่แพงที่สุดชิ้นหนึ่งของรถ EV ปกติราคาแบตเตอรี่จะคิดตามขนาดของ kilowatt-hour ซึ่งรถ EV ในระดับกลางทั่วไปจะขนาดประมาณ 25-40 kilowatt-hour และราคาของแบตเตอรี่ (จะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ และประสิทธิภาพการชาร์จ) มีได้ตั้งแต่ 9,300 บาท – 13,950 บาท (USD300 – USD450) ต่อ kilowatt-hour ถ้าสมมติเอาตัว Nissan Leaf ที่ขายในบ้านเราขนาดแบตเตอรี่ 40 kilowatt-hour คูณออกมาก็จะประมาณ 372,000 – 558,000 บาท/คัน

7.     การบำรุงรักษา (Maintenance Costs) แพงไหม?
แพงหรือไม่แพงจะขึ้นอยู่กับชนิดของแบตเตอรี่รถคันนั้นๆ ว่าจะต้องทำการซ่อม หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เป็นรายโมดูล หรือเปลี่ยนยกชุด ซึ่งส่วนใหญ่จะมีราคาหลักหลายแสนบาทขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหน ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้จำหน่ายรถ EV คันนั้นๆ แต่เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้า EV จะมีชิ้นส่วนน้อยกว่าทั้งรถปกติ และรถแบบ Plug-in Hybrid ทำให้ค่าดูแลรักษาจะต่ำกว่า ตัวอย่าง เช่น อย่างน้อยค่าเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง (Engine Oil) ก็จะไม่มีเลย และเนื่องจากการมีอุปกรณ์เครื่องยนต์น้อย การซ่อมแซมอุปกรณ์ต่างๆ ก็น่าจะไม่บ่อยเท่ารถยนต์ใช้น้ำมัน ส่วนในกรณีของชิ้นส่วน, ตัวถัง, ช่วงล่าง และอะไหล่ทั่วไปอื่นๆ เช่น ไฟส่องสว่าง คอนโซล หรือเบาะนั่ง เป็นต้น ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาก็คล้ายๆ กับรถแบรนด์เดียวกันนั้นๆ ในรุ่นใกล้เคียงกันกับรถยนต์ทั่วไปที่ไม่ใช่รถ EV มากนัก 
13.jpg
ในยุโรปมีการนำรถยนต์ไฟฟ้า EV มาให้บริการ Car Sharing กันในหลายประเทศ ซึ่
งทำให้ประชาชนไม่ต้องมีภาระในเรื่องค่าใช้จ่ายดูแลรถ
14.jpg
เช่น รูปนี้ใน เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี Car Sharing ของแบรนด์ Share’NGo ซึ่งใช้รถจีนรุ่น ZHIDOU D1
(รถไฟฟ้าจากความร่วมมือระหว่าง Geely Holding Group และ Xindayang Electromechanical Group)

8.     ใช้รถยนต์ EV แล้วจะปลอดภัยเหมือนรถยนต์ทั่วไปไหม?
หากเกิดอุบัตเหตุรถชน หรือคว่ำนั้น ความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสารไม่ว่าจะรถ EV หรือรถยนต์ปกติจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความแข็งแรงของตัวถัง การออกแบบ อุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยในรถ น้ำหนักรถ และอื่นๆ แต่หากตัดเรื่องพวกนี้ออกไป รถไฟฟ้า EV มีแนวโน้มที่จะสามารถออกแบบในเชิงโครงสร้างให้มีความปลอดภัยมากกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ ด้วยเหตุผลหลักๆ 3 ประการคือ
  1. เนื่องจากอะไหล่ หรือชิ้นส่วนที่ใช้เคลื่อนไหวในรถ EV น้อยลงรถธรรมดากว่า 50 เปอร์เซ็นต์ หลักๆ จะมีเพียงชุดมอเตอร์ไฟฟ้า, ชุดถ่ายทอดกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าไปยังล้อ, ชุดควบคุม และ แบตเตอรี่ จึงทำให้ชิ้นส่วนที่อาจเกิดก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง หรือกระแทกเข้ากับผู้โดยสารมีน้อยลง และมีพื้นที่มากขึ้นสำหรับอุปกรณ์เรื่องความปลอดภัย และ
  2. รถยนต์ EV สามารถติดตั้งแบตเตอรี่ไว้ได้หลายจุด (แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่จะติดใต้ห้องโดยสาร) ซึ่งทำให้สามารถออกแบบรถให้เกิดความปลอดภัย ใส่อุปกรณ์เสริมป้องกันภัย และดีไซน์พื้นที่เหลือเผื่อสำหรับการยุบตัว และกระจายแรงกระแทก (Crumple Zone) ไม่ให้กระแทกผู้โดยสารเร็ว หรือแรงเกินไปในกรณีอุบัติเหตุได้   
  3. แบตเตอรี่ Li-ion เป็นที่รู้กันว่าระเบิดได้ (เช่น ในโทรศัพท์มือถือ) แล้วถ้าติดในรถ EV จะอันตรายไหม? ต้องยอมรับว่าแบตเตอรี่แบบนี้อาจมีโอกาสเสียหาย และลุกลามติดไฟได้ แต่ในทางปฏิบัติ อุตสาหกรรมรถ EV เข้าใจความเสี่ยงข้อนี้ดี จึงมีการดีไซน์ให้มี Chilled Liquid Coolant คลุมตัวแบตเตอรี่ และออกแบบให้แบตเตอรี่มีการแบ่งเป็นส่วนๆ เพื่อลดความเสี่ยงพวกนี้ แต่หากเกิดกรณีติดไฟ หรือกระแสลัดวงจรขึ้นมาจริงๆ (Thermal Runaway) โชคดีว่าการติดไฟของแบตเตอรี่ มักจะไหม้แค่ตัวแบตเตอรี่ หรือบริเวรณรอบๆ ใกล้เคียง ในขณะที่รถยนต์ปกติที่วิ่งโดยใช้น้ำมัน หากน้ำมันมีการไหล หรือกระจายตัวออก มีความเป็นไปได้ว่าความเสียหายจะเป็นวงกว้างกว่ารถ EV
15.jpg
รถไฟฟ้า Audi e-Tron ได้รับเรทติ้งในเรื่องความปลอดภัยระดับ Top Safety Pick+ จากสถาบัน Insurance Institute for Highway Safety
(องค์กร Non-profit ในอเมริกามีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุจากรถยนต์) เป็นรถไฟฟ้ารุ่นแรกที่ได้รับเรทติ้ง Top Class แบบนี้
 
9.     รถ EV วิ่งผ่านน้ำท่วม หรือฝนตกหนักจะมีปัญหาไหม ?
โดยทั่วๆ ไป ต้องตอบว่าโอกาสที่รถยนต์ EV ขับลุยน้ำ หรือฝนตกหนักๆ แล้วจะเกิดปัญหาน่าจะน้อยกว่ารถยนต์แบบทั่วไป ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจนิดนึงว่า รถยนต์ทั่วไปที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันโดยปกติไม่ควรขับผ่านน้ำท่วมสูงอยู่แล้ว เพราะอาจได้รับผลกระทบหลักๆ 3 เรื่อง คือ (ก) น้ำเข้าไปในเครื่องยนต์ (ข) น้ำเข้าระบบเกียร์ และระบบขับเคลื่อน และ (ค) น้ำเข้าไปผสมกับน้ำมันเครื่อง เกียร์ หรืออื่นๆ ที่เป็นของเหลว ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้รถยนต์มีปัญหา ซึ่งถ้ารถ EV มีเครื่องยนต์ที่น้อยกว่า และไม่มีระบบเกียร์ หรือพวกน้ำมันของเหลวในรถมากมาย โอกาสที่จะมีปัญหาเนื่องจากน้ำท่วม หรือฝนตกหนักๆ ก็น่าจะน้อยกว่า ประเด็นใหญ่ของรถ EV อย่างเดียวคือแล้วถ้าแบตเตอรี่โดนน้ำจะเป็นอย่างไร? แล้วถ้ารถ EV ติดแบตเตอรี่ไว้ใต้ท้องรถด้วย จะมีปัญหาไหม? โดยปกติ รถ EV จะมีการเก็บแบตเตอรี่ Sealed Off ไว้อย่างดี และแบรนด์ส่วนใหญ่ก็มีการ Test ในเรื่องนี้ไว้มากพอสมควร (เรียกว่า Soak Test) และกล้าโฆษณาว่าแบตเตอรี่เป็นแบบ Waterproof ดังนั้น รถ EV จึงขับผ่านน้ำท่วม และฝนตกหนักได้ เพียงแต่ต้องขับด้วยความระวัง และศึกษาข้อมูลของรถ EV แต่ละคันให้ๆ ดี เช่น คู่มือรถอาจระบุข้อจำกัดในเรื่อง “ระดับความสูงของน้ำ” และ “ระดับความเร็วของรถ” เวลาวิ่งผ่านน้ำท่วมไว้ เช่น BMWi3 กำหนดไว้ว่าระดับน้ำไม่ควรสูงเกิน 25 ซม และความเร็วไม่ควรเกิน 5 กม./ชม เป็นต้น 

10.      โดยสรุปรถ EV มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?
ข้อดีของรถ EV
  1. ประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง แม้ว่ารถ EV จะมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรถยนต์ แต่แนวโน้มราคาของรถ EV จะถูกลงเรื่อยๆ ประกอบกับค่าใช้จ่ายในส่วนของเชื้อเพลิงที่รถ EV ใช้ไฟฟ้าในการชาร์จเพื่อใช้เป็นพลังงานนั้น ราคาถูกกว่าน้ำมันที่มีต้นทุนการผลิต และราคามีความผันผวนสูงกว่าค่าไฟฟ้า
  2. ลดมลภาวะทางเสียง เนื่องจากรถ EV ใช้เพียงมอเตอร์ในการขับเคลื่อน ซึ่งต่างจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเพื่อการเผาไหม้จุดระเบิดทำให้เกิดเสียงดัง รถยนต์ EV จึงมีเสียงที่เงียบกว่า
  3. รักษ์โลก เนื่องจากรถ EV ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ เพราะไม่มีไอเสียจากการเผาผลาญพลังงาน มลพิษทางอากาศจึงเป็น 0 ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับสิ่งแวดล้อมในโลกปัจจุบัน และช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงของโลกลง เป็นประโยชน์ต่อลูกหลานของเราในอนาคต
  4. รถ EV มีกำลังแรงม้า และแรงบิดที่ดีกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ในระดับเดียวกัน ทำให้อัตราเร่งดีกว่า
  5. แรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้ามีมาก เริ่มตั้งแต่ออกตัวขึ้นไป ไม่ต้องรอเร่งเครื่องยนต์ให้รอบถึงจุดที่มีกำลังสูงสุด และรถยนต์ EV ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบเกียร์เพื่อทดกำลัง หรือใช้แบบ Single Speed ทำให้ชิ้นเคลื่อนไหวน้อยลงกว่าครึ่ง น้ำหนักเบาลง และลดการบำรุงรักษาไปได้มาก
  6. รถ EV สามารถชาร์จไฟจากที่บ้านได้เลย เพียงแต่ต้องติดตั้งแท่นชาร์จไฟแบบพิเศษ หรือใช้ปลั๊คไฟที่ทำขึ้นมาเฉพาะชาร์จโดยตรงสำหรับรถยนต์ EV เท่านั้น
  7. ประหยัดค่าซ่อมบำรุง และเวลาที่ต้องเสียไปกับการนำรถเข้ารับบริการ เพราะรถยนต์ EV ไม่มีเครื่องยนต์และชุดเกียร์ ทำให้ลดขั้นตอนการบำรุงรักษา ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น เช่น ไม่ต้องคอยเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเกียร์
ข้อเสียของรถ EV
  1. ราคา และค่าใช้จ่ายในการขับรถ EV ปัจจุบันยังค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป หากรัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนดีๆ เหมือนในต่างประเทศ ก็น่าจะทำให้ราคาต่ำลงได้ เช่น ได้ขึ้นทางด่วนฟรี ภาษีรถไฟฟ้า EV ต่ำกว่ารถทั่วไป ลดภาษีสรรพสามิต ผู้ผลิตรถ EV เสียภาษีนิติบุคคลธรรมดา หรืออากรสินค้าต่ำกว่าทั่วไป เป็นต้น
  2. สถานบริการชาร์จไฟยังไม่ครอบคลุม ซึ่งในอนาคตบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง (เช่น PPT หรือ EA) หรือภาครัฐ (เช่น การไฟฟ้านครหลวง) กำลังดำเนินการขยายให้ครอบคลุมมากขึ้น  
  3. ใช้เวลาในการชาร์จค่อนข้างนานราวๆ 6 - 8 ชั่วโมง แม้เทคโนโลยีในปัจจุบันพัฒนาให้แบตเตอรี่, ระบบชาร์จไฟ เร็วยิ่งขึ้น แต่ปัญหายังคงเป็นเรื่องของระยะเวลาในการชาร์จ ซึ่งไม่เหมือนการเติมน้ำมันที่ใช้เวลาน้อยกว่าเพียงไม่ถึง 2 นาทีก็สามารถเติมน้ำมันได้เต็มถัง ในขณะที่รถ EV ที่ใช้ระบบชาร์จเร็วก็ต้องใช้เวลาชาร์จนานราวๆ 30 นาที ถึง 4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับระบบกระแสไฟฟ้าที่จ่ายและประเภทของแบตเตอรี่
  4. เมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่หมดไม่สามารถใช้แบตเตอรี่จากแหล่งอื่นๆ มาจัมพ์ได้ ต้องเรียกศูนย์บริการหรือรถสไลด์เท่านั้น
  5. หากรถยนต์ EV เสีย หรือมีปัญหา อาจไม่มีทางเลือกในการหาสถานที่ซ่อมมากนักในช่วงต้น อาจยังต้องใช้บริการศูนย์ซ่อม หรือช่างซ่อมรถยนต์ที่เป็นทางการของเจ้าของแบรนด์ไปก่อน แต่เมื่อช่างรถยนต์ข้างนอกมีความเชี่ยวชาญ หรือเชื่อถือได้มากขึ้น ก็น่าจะเป็นอีกช่องทางเลือกหนึ่งในการส่งซ่อมรถได้หลากหลายขึ้นในอนาคต

สนใจขับรถยนต์ EV ตอนนี้มีแบบไหนในเมืองไทยให้เลือกบ้าง
ปัจจุบัน (ตุลาคม 2562) ในประเทศไทยมีรถยนต์ EV ที่เข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการแล้วทั้งสิ้นดังนี้
  1. FOMM One ราคา 664,000 บาท
            16.jpg
 
  1. MG ZS EV ราคา 1,190,000 บาท
    17.jpg
 
  1. Hyundai IONIQ EV ราคา 1,749,000 บาท
    18.jpg
 
  1. Hyundai KONA electric ราคา 1,849,000-2,259,000 บาท
            19.jpg
 
  1. BYD E6 ราคา 1,890,000 บาท
            20.png
 
  1. Nissan LEAF ราคา 1,990,000 บาท
           21.jpg
  1. KIA Soul EV ราคา 2,297,000 บาท
           22.jpg
 
  1. BMW i3S ราคา 3,730,000 บาท
          23.jpg
 
  1. Audi e-tron 55 quattro ราคา 5,099,000 บาท
            24.jpg
 
  1. Jaguar I-Pace ราคา 5,499,000-6,999,000 บาท
            25.jpg
จากราคาค่าตัวของรถ EV ที่ค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่จะประหยัดลงได้มาก ขอสรุปไว้ว่า รถ EV นับเป็นทางเลือกให้ผู้ต้องการเทคโนโลยี และความประหยัด นอกจากนี้ยังต้องศึกษาเรื่อง "จุดชาร์จไฟ" ให้แม่นยำ และในอนาคตอันใกล้ รถยนต์ EV กำลังเป็นกระแสที่กำลังเติบโตในประเทศไทย และในอนาคต  

ข่าวดี..สำหรับผู้ที่สนใจจะเป็นเจ้าของรถ EV ซักคันวันนี้ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เมื่อเจ้าของสโลแกน เรื่องเงิน เรื่องง่าย อย่าง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ไฟเขียวให้ กรุงศรี ออโต้ จัดสินเชื่อพิเศษ เพื่อรถ EV โดยเฉพาะ มีรถเข้าร่วมโครงการหลากหลายรุ่นให้คุณเลือก ไม่ว่าจะเป็น FOMM One , MG ZS EV, Nissan LEFT, Hyundai IONIQ และ KONA 

หากสนใจอยากจะเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า สามารถขอสินเชื่อออนไลน์ได้ที่
apply.pngLINE.png 

ดูโปรโมชั่นออนไลน์ของ กรุงศรี นิว คาร์ คลิก ขอสินเชื่อกรุงศรี นิว คาร์ ออนไลน์ เลือกของกำนัลที่ใช่ ใช้ได้จริง มูลค่า 2,000 บาท



อย่าลืม!..คิดจะออกรถใหม่นึกถึงเรา ยื่นเรื่องง่าย อนุมัติไว วางใจ กรุงศรี ออโต้
เพิ่มเพื่อน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
กรุงศรี ออโต้ คอล เซ็นเตอร์ โทร. 0-2740-7400

ย้อนกลับ

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

+ ดูทั้งหมด