อยากเป็นเจ้าของรถยนต์สักคัน.. เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องยาก อยากได้รถก็แค่โทรหา กรุงศรี ออโต้ (โทร. 0-2740-7400) แต่การดูแลรักษารถนั้นต่างหากที่ยากยิ่งกว่า รถยนต์มีชิ้นส่วนต่างๆ ทำงานประสานกันเหมือนร่างกายของเรา เครื่องยนต์ ก็เปรียบเหมือน หัวใจ ที่ต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดีด้วย น้ำมันเครื่อง ที่เป็นส่วนสำคัญในการทำหน้าที่ปกป้องให้ทุกชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงปกป้องจากการสึกหรอทุกครั้งที่ใช้งาน
น้ำมันเครื่อง หลายคนคงรู้จัก แต่บางส่วนก็ยังไม่เข้าใจว่ามีความสำคัญยังไง ทำไมต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นประจำ และน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์จะส่งผลอย่างไร ในคู่มือประจำรถของทุกคันจะระบุประเภทน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมไว้ให้อยู่แล้ว แต่ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตน้ำมันเครื่องต่างพัฒนาน้ำมันเครื่องออกมาหลายเกรดหลายชนิด เพื่อเพิ่มตัวเลือกให้ผู้บริโภคและตอบสนองการใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้น จึงอาจทำให้เจ้าของรถสับสนว่าน้ำมันเครื่องประเภทใดที่เหมาะกับรถคู่ใจของตนเอง และควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องประเภทไหน เพราะใช่ว่าแพงที่สุดแล้วจะดีที่สุดเสมอไป
- น้ำมันเครื่อง เหลว-หนืดมากไปก็ไม่ดี
น้ำมันเครื่อง คือ สารหล่อลื่นที่อยู่คั่นกลางระหว่างผิวของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ ทำหน้าที่เป็นฟิล์มเคลือบชิ้นส่วนโลหะ ช่วยลดการเสียดสีและการสึกหรอของวัตถุโลหะ ขณะที่มีการเคลื่อนไหวของเครื่องยนต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาสตาร์ทรถ นอกจากนี้ น้ำมันเครื่องยังมีประโยชน์อื่นๆ ด้วย ตั้งแต่ช่วยระบายความร้อนให้ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ป้องกันการเกิดสนิม การกัดกร่อน คราบเขม่า การสะสมสิ่งสกปรกและผงโลหะที่อาจทำให้เกิดการอุดตันภายในชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ไปจนถึงการป้องกันการเกิดปฏิกิริยาอ็อกซิเดชั่น ช่วยรักษาคุณภาพน้ำมัน ซึ่งหากน้ำมันเครื่องหนืดไปหรือเหลวไป น้ำมันเครื่องจะไม่สามารถไหลเวียนและให้การหล่อลื่นเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งและยังช่วยให้รถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนตัวช่วยสูบฉีดหัวใจของเครื่องยนต์ให้ทำงานได้เต็มที่
2. เกรดและประเภทของน้ำมันเครื่อง
เกรดหรือความหนืดของน้ำมันเครื่อง บ่งบอกถึงความข้นหรือแรงต้านต่อการไหลเทของน้ำมันเครื่อง โดยสามารถทราบความหนืดของน้ำมันเครื่องซึ่งเหมาะกับช่วงอุณหภูมิสภาพแวดล้อมได้จากการสังเกตชุดตัวเลข "XW-XX" โดยตัวเลขที่อยู่หน้า W จะย่อมาจากคำว่า "Winter" คือค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องที่อุณหภูมิต่ำ ในขณะที่เลขข้างหลัง W คือค่าความหนืดของน้ำมันในอุณหภูมิสูง ค่าตัวเลขมากยิ่งมีความหนืดมาก และในทางกลับกัน ค่าตัวเลขน้อยแสดงว่าน้ำมันเครื่องนั้นมีความหนืดน้อย โดยน้ำมันเครื่องส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นน้ำมันเครื่องชนิดเกรดรวม เช่น 5W-30, 0W-20 หรือ 10W-30 ที่ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้ดีทั้งในอุณหภูมิต่ำและสูง ส่วนน้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว เช่น เบอร์ 40 นั้น ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมใช้ เนื่องจากมีผลกระทบต่อการสตาร์ทรถในขณะเครื่องยนต์เย็น หรืออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากกว่าและอัตราเร่งที่ด้อยลง จึงขอแนะนำให้ใช้ในกรณีที่ผู้ผลิตรถยนต์รุ่นนั้นๆกำหนดไว้เป็นมาตรฐานเท่านั้น
ประเภทของน้ำมันเครื่องนั้นมี 3 ประเภทหลัก ได้แก่
1. น้ำมันแร่ (Mineral oil) คือน้ำมันเครื่องที่ผลิตจากการกลั่นน้ำมันดิบ ซึ่งมักมีราคาต่ำกว่าน้ำมันเครื่องประเภทอื่น
2. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Full synthetic oil) คือ น้ำมันเครื่องที่ผลิตด้วยกรรมวิธีทางเคมีและกลั่นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง จึงมักมีประสิทธิภาพและราคาที่สูงกว่าน้ำมันเครื่องประเภทอื่น
3. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-synthetic oil) คือน้ำมันเครื่องที่ผลิตจากน้ำมันแร่ผสมกับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพให้สูงกว่าน้ำมันแร่ แต่ราคาไม่สูงเท่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
3. เลือกน้ำมันเครื่องให้เหมาะสม
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องอยู่หลายยี่ห้อ ทั้งยังมีเกรดและประเภทของน้ำมันเครื่องอีกมากมาย เจ้าของรถจึงควรมีความรู้เบื้องต้นเพื่อเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้เหมาะสมกับรถยนต์และการใช้งาน โดยวิธีง่ายที่สุดคือค้นหาจากคู่มือผู้ใช้รถซึ่งจะระบุเกรดของน้ำมันเครื่องและมาตรฐานที่เหมาะสมกับรถยนต์รุ่นนั้นๆ และเลือกน้ำมันเครื่องที่มีเกรดตรงตามที่กำหนด โดยดูได้จากฉลากข้างแกลลอนน้ำมันเครื่อง
ความหนืดของน้ำมันเครื่อง แนะนำให้เลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดต่ำสุดที่ระบุไว้ในคู่มือผู้ใช้รถ ซึ่งจะช่วยให้รถยนต์สตาร์ทติดง่าย ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และอัตราเร่งดีเยี่ยมกว่าน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดสูง
เกรดมาตรฐานของน้ำมันเครื่อง ซึ่งจะมีหลายเกรดมาตรฐาน เช่น API, ACEA, ILSAC หรือมาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์แต่ละยี่ห้อกำหนดขึ้นเพื่อให้เหมาะกับเครื่องยนต์รุ่นนั้น เช่น VW 508.00 หรือ Ford WSS-M2C913-D โดยให้เลือกตามมาตรฐานที่กำหนด
ประเภทของน้ำมันเครื่อง สำหรับผู้ที่ต้องการน้ำมันเครื่องที่ให้การปกป้องเครื่องยนต์อย่างดีเยี่ยมเพื่อสมรรถนะของเครื่องยนต์สูงสุด ควรใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์คุณภาพสูงที่ออกแบบเพื่อให้มีการคงคุณสมบัติของน้ำมันที่ดีเยี่ยมตลอดการใช้งานกว่าน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์หรือน้ำมันแร่
4. ระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
นอกจากจะเข้าใจถึงความสำคัญและรู้จักประเภทของน้ำมันเครื่องแล้ว การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อครบระยะหรือหมดอายุการใช้งานเป็นประจำก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะถือเป็นการรักษาความสะอาดเครื่องยนต์ โดยรถยนต์ส่วนใหญ่จะถูกกำหนดให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 10,000 กม. หรือ 6 เดือน แล้วแต่กรณีใดจะถึงก่อน แม้ว่าจะใช้รถไม่ครบเลขกิโลเมตรที่กำหนด แต่ก็ควรนำรถเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและตรวจเช็คระยะอย่างน้อยทุกๆ 6 เดือน เนื่องจากในขณะที่รถติดเครื่องยนต์ก็ยังคงทำงานตลอดเวลา ซึ่งทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพไปตามระยะเวลา แน่นอนว่าในการดูแลรถคู่ใจก็ยังมีรายละเอียดอื่นๆ ที่อาจต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการดูแล
อย่าลืมนะครับ ครั้งต่อไปเวลาเลือกซื้อน้ำมันเครื่อง จำง่ายๆ ให้ขึ้นใจเพียง 4 ข้อ แค่นี้ก็จะช่วยให้รถของคุณมีเครื่องยนต์ที่พร้อมทำงานเต็มประสิทธิภาพเหมือนใหม่ด้วย น้ำมันเครื่อง ที่ช่วยปกป้องเครื่องยนต์ได้เต็มความสามารถ เพราะบางสิ่งไม่อาจตัดสินกันได้ด้วยราคา ของที่แพงที่สุดอาจจะไม่ได้เหมาะกับรถเราที่สุดเสมอไป ควรเลือกให้เหมาะสมกับประสิทธิภาพ และหมั่นดูแลเอาใจใส่บ่อยๆ เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัยในทุกเส้นทางครับ
หากสนใจอยากจะเป็นเจ้าของรถซักคัน สามารถขอสินเชื่อออนไลน์ได้ที่

ดูโปรโมชั่นออนไลน์ของ กรุงศรี นิว คาร์ คลิก ขอสินเชื่อกรุงศรี นิว คาร์ ออนไลน์ เลือกของกำนัลที่ใช่ ใช้ได้จริง มูลค่า 2,000 บาท
หรือ ดูโปรโมชั่นในงาน MOTOR EXPO 2019 คลิก
อย่าลืม!..คิดจะออกรถใหม่นึกถึงเรา ยื่นเรื่องง่าย อนุมัติไว วางใจ กรุงศรี ออโต้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
กรุงศรี ออโต้ คอล เซ็นเตอร์ โทร.
0-2740-7400