รถยนต์มีระบบขับเคลื่อนกี่แบบกันนะ?
พิมพ์หน้านี้

รถยนต์มีระบบขับเคลื่อนกี่แบบกันนะ?

เพิ่มเพื่อน

รถยนต์มีระบบขับเคลื่อนกี่แบบกันนะ?


                รถยนต์ที่เราคุ้นเคยกันนั้น มักจะมีการแบ่งประเภทตามจำนวนที่นั่ง, ตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ ฯลฯ แต่วันนี้เราจะนำเสนอการแบ่งด้วยระบบขับเคลื่อน โดยทั่วไป เรามักจะรู้จักกับ ระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหลัง (Front-engine Rear-wheel drive : FR) ซึ่งจะอยู่ในรถเพื่อการพาณิชย์เป็นส่วนมาก กับระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหน้า (Front-engine Front-wheel drive : FF) อันนี้จะอยู่ในรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทั้ง 2 แบบก็จะมีคาแร็คเตอร์ในการขับขี่ที่แตกต่างกัน หากเปรียบเทียบก็เหมือนกับว่ารถที่ขับเคลื่อนล้อหลังนั้น ล้อคู่หลังจะเป็นตัวดันส่งกำลังให้รถเคลื่อนที่ไปได้ ส่วนรถที่ขับเคลื่อนล้อหน้าก็จะลากหรือดึงให้รถเคลื่อนที่ไปได้ นับว่ามีความแตกต่างอยู่พอสมควร ส่วนระบบที่นับว่ามีจุดเด่นกว่านั่นคือ ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ (Four-wheel drive : 4WD)  ซึ่งในแง่ของสมรรถนะการขับขี่โดยรวมแล้วดีกว่ารถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ ทั้ง FF และ FR อยู่มาก เพราะเป็นการตะกายทั้ง 4 ล้อ ทำให้การควบคุมรถที่แม่นยำมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเข้าโค้งหรือการหักหลบสิ่งกีดขวางต่าง ๆ อย่างกระทันหัน แล้วแบบไหนดีกว่ากัน?

01-front-engine-inside-krungsri.png
ระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหลัง (Front-engine Rear-wheel drive : FR)
มักจะมีชิ้นส่วนในการขับเคลื่อนมากกว่าระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหน้า เช่น ระบบส่งกำลังที่มีชุดเกียร์ขนาดใหญ่  เพลากลางเพื่อส่งกำลังไปยังชุดเฟืองท้ายและแกนล้อด้านข้างที่ส่งกำลังไปหมุนดุมล้อ นอกจากนี้ยังมีจุดยึด จุดรองรับน้ำหนักการเคลื่อนไหวอีกมากมาย ข้อดีคือ แข็งแรงทนทาน มีอายุการใช้งานยาวนาน โดยมักจะนิยมใช้ในรถยุโรป รถปิคอัพ รถเพื่อใช้ในการขนส่งจนไปถึงรถบรรทุก

car_2.png
                จะเห็นว่าการมีชิ้นส่วนต่าง ๆ มากมายนั้น ต้องใช้กำลังจากเครื่องยนต์เอาชนะน้ำหนักของชิ้นส่วนต่าง ๆ กว่าจะกำลังที่เหลือจะถึงล้อหลังได้และบวกกับน้ำหนักตัวรถเข้าไปด้วย จึงทำให้รถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหลัง ส่วนมาก มีอัตราเร่งด้อยกว่ารถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหน้า
                ในส่วนของรถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหลัง นั้นบริษัทผู้ผลิตก็มักจะคิดค้นหาวิธีการลดภาระของเครื่องยนต์ โดยในรถบางรุ่นเลือกใช้วัสดุน้ำหนักเบาในชิ้นส่วนต่างๆ รวมถึงลดน้ำหนักตัวรถและช่วงล่างลง นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีการผลิตเครื่องยนต์ให้มีหนักเบาแต่เพิ่มกำลังได้มากขึ้น ในบางรุ่นก็เลือกใช้ระบบอัดอากาศหรือเทอร์โบเข้ามาเสริมให้มีพละกำลังดีขึ้นไปจนในปัจจุบันเราจะเห็นว่ารถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหลังไม่ได้อืดอีกต่อไปแล้ว

02-front-engine-inside-krungsri.png
ระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหน้า (Front-engine Front-wheel drive : FF)
นับว่าได้รับความนิยมในผู้ผลิตรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมีระบบและชิ้นส่วนน้อยกว่ารถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหลัง มีเพียงชุดเกียร์ที่รวมเอาชุดเฟืองท้ายไว้ด้วยกัน และเพลาส่งกำลังไปล้อคู่หน้าจบ!  รถแบบนี้จึงมีน้ำหนักรวมของระบบขับเคลื่อนน้อย  มีชิ้นส่วนที่ต้องรองรับการเคลื่อนไหวน้อยลง ทำให้ลดภาระของเครื่องยนต์ลงไปได้มากกว่า แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง คือ ความทนทานของชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวในหลายองศาลดลง เช่น เพลาส่งกำลังก็มีอายุการใช้งานน้อยลง เพราะชิ้นส่วนที่ต้องรองรับทั้งกำลัง การบังคับทิศทางและขยับตัวตลอดเวลา ต้องทำงานหลายหน้าที่พร้อม ๆ กัน ทำให้ชุดลูกปืนเพลา ชุดยางกันฝุ่น และลูกปืนล้อ รวมถึงชิ้นส่วนในระบบกันสะเทือนมีอายุการใช้งานน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหลัง

Dynamic03_Main_norm_6M_4_1_Lowres.png


500_LT.png

                แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นมีประสิทธิภาพสม่ำเสมอกว่า ได้แก่ การควบคุมทิศทางเนื่องจากใช้ล้อหน้าควบคุมทั้งแรงและทิศทาง ความประหยัดน้ำมันจากการที่มีชิ้นส่วนน้อยลง พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขึ้นเพราะไม่มีอุโมงค์เพลากลางแล้ว การดูแลรักษาที่ง่าย และตอบสนองการขับขี่หรืออัตราเร่งทันใจ เป็นต้น

03-front-engine-inside-krungsri.png
ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ (Four-wheel drive : 4WD)
นับว่ามีให้สมรรถนะในด้านการเกาะถนนที่ดีกว่า ควบคุมรถได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีกว่ารถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ ทั้ง FF และ FR เพราะการถ่ายกำลังได้ครบทุกล้อที่สัมผัสผิวถนนย่อมได้เปรียบ ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ นั้นแบ่งได้ 2 ประเภท

3773b2c8dffeec601b9723a289c8cb9e.jpg
                1. ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part Time
                ระบบนี้ออกแบบมาให้ใช้ในสภาพเส้นทางทุรกันดาร เพื่อให้สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ โดยผู้ขับสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนมาอยู่ในตำแหน่ง 4H หรือ 4L เครื่องยนต์จะถูกแบ่งไปที่ล้อคู่หน้าและหลังอย่างละ 50:50 ส่วนใหญ่รถที่มีระบบขับเคลื่อนแบบนี้จะมีระบบที่ช่วยกระจายแรงขับเคลื่อนไปในล้อที่มีแรงเสียดทานต่างกันให้มีแรงขับเคลื่อนที่เท่าๆ กัน ทั้ง 2 ข้าง
                ข้อควรระวัง: เมื่อเราใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แล้วกำลังของเครื่องยนต์จะถูกแบ่งไปที่ล้อคู่หน้าและหลัง เวลาที่เลี้ยวจะเกิดอาการขืนที่พวงมาลัย จึงห้ามใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ วิ่งบนถนนที่คดโค้ง โดยใช้ความเร็วสูงๆ เด็ดขาด
                นอกจากนี้ยังมีระบบขับเคลื่อนบางเวลาที่แยกย่อยลงไปอีก คือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Real Time ระบบนี้ถูกออกแบบมาใช้ในถนนที่ไม่สมบุกสมบันมากนัก ส่วนใหญ่ระบบขับเคลื่อนหลักจะเป็นล้อคู่หน้า เมื่อล้อหลังล้อใดเกิดการหมุนในความเร็วที่ต่างกัน เช่น รถเกิดอาการลื่นไถล ระบบจะควบคุมให้ส่งกำลังมาที่ล้อหลังกลายเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อทันที แต่เมื่อใดที่กลับสู่สภาวะปกติ ก็จะปรับระบบขับเคลื่อนเป็นแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ทันที

500375.png
               
                2. ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full Time
                ระบบนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในรถยนต์นั่ง มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน สามารถถ่ายทอดกำลังไปที่เพลาท้าย และเพลาหน้า ส่วนใหญ่ระบบนี้จะส่งกำลังไม่คงที่ เมื่อเลี้ยวรถจะทำให้ล้อคู่หน้าเกิดแรงเสียดทานมากกว่าล้อคู่หลัง ระบบจะถ่ายทอดกำลังไปที่ล้อคู่หลังมากกว่าล้อคู่หน้าเพื่อเพิ่มความคล่องตัว กลุ่มรถประเภท SUV ก็ใช้ระบบนี้
                ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ นั้นแม้ว่าจะได้สมรรถนะที่ดีกว่า แต่ก็มีชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนมากกว่า เพราะชิ้นส่วนที่เยอะมากมายนี่เองจึงทำให้รถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ มีค่าตัวที่สูงกว่านั่นเอง
 
ระบบขับแบบเคลื่อน 4 ล้อทั้ง 2 แบบแตกต่างกันอย่างไร?
                แบบ Part Time จะใช้งานต้องเลือกระบบขับเคลื่อนโดยปัจจุบันเป็นระบบชุดเกียร์ไฟฟ้าแทบหมดแล้ว เพียงกดสวิทช์หรือหมุนปุ่มปรับเลือกระบบการทำงาน H2 , H4 , L4 เป็นต้น และในรถบางรุ่นอาจมีโหมดย่อยให้เลือกอีกเช่น 4HLc หรือ 4LLc ใช้เฉพาะเส้นทางเจาะลึกเข้าไปอีกขั้นหรืออาจใช้เป็นโหมด "Snow" ใช้ขับขี่ผ่านเส้นทางเปียกลื่นได้ หรือ "Rock" หากต้องการกำลังตะกุยของล้อทั้ง 4 มากกว่าปกติ หรือว่าในโหมด "Gravel" กรวด ทราย สำหรับขับทางลูกรัง เป็นต้น
                แบบ Full Time แต่เป็นการทำงานของระบบขับเคลื่อนที่จะส่งกำลังไปที่ล้อทั้ง 4 แต่จะแปรผันให้กำลังไปที่ล้อคู่หน้ามากกว่าล้อคู่หลังประมาณ 60 / 40 หรืออาจจะ 80 / 20 เมื่อมีล้อใดเริ่มมีอาการลื่นไถล ระบบก็จะลดทอนกำลังล้อนั้นและใช้ระบบเบรกช่วยลดความเร็วของล้อ พร้อมกับเพิ่มกำลังไปยังล้อที่เหลือให้ช่วยประคองจนกว่าล้อทั้ง 4 จะวิ่งได้ปกติ
                จากการดูข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบแล้วหากเป็นด้านสมรรถนะระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ นั้นชนะใส ๆ แต่หากในแง่การใช้งานแบบทั่วไปนั้นยังเป็นรองระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ ในหลายด้าน เพราะต่างมีจุดเด่นและด้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งาน งบประมาณ ฯลฯ
                สรุปง่ายๆ ว่าเลือกซื้อรถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนให้ตรงกับชีวิตประจำวันหรือไลฟ์สไตล์ของครอบครัว เพราะรถที่ยิ่งมีระบบมากย่อมมีค่าดูแลรักษามากตามไปด้วย รถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ ในปัจจุบันก็นับว่าเทคโนโลยีช่วยควบคุมการทรงตังต่าง ๆ มากมาย เพียงพอให้สามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย หรือหากซื้อรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ก็ได้เรื่องของการยึดเกาะถนนเพิ่มขึ้นอีก ควบคุมรถได้ดีในทางโค้งหรือผิวถนนเปืยกลื่น และขับผ่านเส้นทางแบบ Off-Road ได้ง่ายขึ้น
                ทั้งนี้หากใช้รถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ แล้วแทบไม่ได้ใช้เลย ก็จำเป็นต้องบำรุงรักษาระบบที่เพิ่มมา เพราะอาจเสื่อมสภาพเร็วกว่าใช้งานเป็นประจำด้วยซ้ำไปครับ

หากสนใจอยากจะเป็นเจ้าของรถยนต์สามารถขอสินเชื่อออนไลน์ได้ที่
apply.pngLINE.png 
ดูโปรโมชั่นออนไลน์ของ กรุงศรี นิว คาร์ คลิก ขอสินเชื่อกรุงศรี นิว คาร์ ออนไลน์ เลือกของกำนัลที่ใช่ ใช้ได้จริง มูลค่า 2,000 บาท

อย่าลืม!..คิดจะออกรถใหม่นึกถึงเรา ยื่นเรื่องง่าย อนุมัติไว วางใจ กรุงศรี ออโต้
เพิ่มเพื่อน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
กรุงศรี ออโต้ คอล เซ็นเตอร์
โทร. 0-2740-7400
 

ย้อนกลับ

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

+ ดูทั้งหมด